1. เบญจออยส์ คืออะไร?

         เบญจออยล์ เป็นการรวมน้ำมันเพื่อสุขภาพประกอบด้วยน้ำมัน 5 ชนิดคือน้ำมันมะพร้าว น้ำมันรำข้าว น้ำมันกระเทียม น้ำมันงาขี้ม่อนและน้ำมันปลา ในอัตราส่วนที่เหมาะสม เพื่อดูแลความสมดุลของร่างกาย หากร่างกายเกิดความสมดุล เราก็มีสุขภาพที่ดี

 

2. เบญจออยส์ ดีอย่างไร?

         เบญจออยส์ เป็นการรวมน้ำมันเพื่อสุขภาพ 5 ชนิด คือ น้ำมันมะพร้าว น้ำมันรำข้าว  น้ำมันกระเทียม น้ำมันงาขี้ม่อนและน้ำมันปลา ในอัตราส่วนที่เหมาะสม เพื่อผลดีต่อสุขภาพดังนี้ 2.1 เพิ่มไขมันดี หรือ HDL ในร่างกาย น้ำมันมะพร้าวมีรายงานว่าสามารถเพิ่ม HDL ได้ 40 %แต่หากผสมน้ำมันมะพร้าว กับน้ำมันงาขี้ม่อนในอัตตราส่วนที่เหมาะสมจะสามารถเพิ่ม HDL ได้ถึง 150 % ซึ่งถ้าร่างกายมี HDL สูง ความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจและโรคมะเร็งก็จะลดลงด้วย (**HDL เพิ่ม 11.6 % ลดโรคมะเร็ง 41%โรคหัวใจ 64 % )

(**หลักการดูความเสี่ยงโรคหัวใจ เอา Total cholesterol/ควรเกิน 5)

2.2 เพิ่มการไหลเวียนของเลือดด้วย

- สาร Allicin Ajoene จากน้ำมันกระเทียม

- สาร Alpha-linolenic acid (ALA)จากน้ำมันงานขี้ม่อน สามารถนำไปเป็นวัตถุดิบเพื่อสังเคราะห์    EPA DHA ได้

- สาร EPA DHA จากน้ำมันปลา ซึ่งสาร ALA EPA DHA เป็นสารในกลุ่มโอเมก้า 3 ที่มีส่วนสำคัญในการสร้าง ไอโคนอยด์ (Eicosanoids) ที่ กระตุ้นการไหลของเลือด ทำให้หลอดเลือดมีการขยายตัวและช่วยการพัฒนาการทำงานของระบบประสาท สมองและสายตาอีกด้วย

2.3 ต้านอนุมูลอิสระ และลดการอักเสบของหลอดเลือด จารกงานวิจัยพบว่าน้ำมันที่ใช้เป็นส่วนประกอบมีรายงานว่ามีสารต้านอนุมูลอิสระหลายชนิดเช่น

Tocotrienol, Tocotrienol จากน้ำมันมะพร้าว

Ajoene และ Germanium (vitamin O) จากน้ำมันกระเทียม ซึ่งสาร Germanium นั้นสารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxident)และมีสรรพคุณในการสร้างสมดุลร่างกาย (Adaptogen) อีกด้วย พบในกระเทียมเป็นอันดับ 2 รองจากเห็ดหลินจือ

EPA จากน้ำมันปลา สามารถลดการอักเสบของหลอดเลืทอดได้

Gamma Oryzanol จากน้ำมันรำข้าว

Rosmarinic acid ,Luteolin จากน้ำมันงาขี้ม่อน

 

2.4 ต้านเชื้อ กระตุ้นภูมิคุ้มกัน

- สาร Lauric acid ในน้ำมันมะพร้าว จะเปลี่ยนเป็น Monolaurin ซึ่งเป็นสารตัวเดียวกับที่อยู่ในน้ำนมมารดา ช่วยสร้างภูมิคุ้มกัน และเป็นสารปฏิชีวนะที่ทำลายเชื้อโรคทุกชนิด แต่ไม่เดป็นอันตรายต่อแบคทีเรียที่เป็นประโยชน์ในลำไส้

- สาร Carpric acid .นน้ำมันมะพร้าวจะเปลี่ยนเดป็น Monocaprin ไปช่วยเสริมประสิทธิภาพ ของ Monolaurin ในการสร้างภูมิคุ้มกันและฆ่าเชื้อโรคด้วย

- สาร Allicin, Ajoene และ Allitridin จากน้ำมันกระเทียม สามารถต้านเชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา ไวรัส โปรโตซัวและเซลล์มะเร็งได้

 

3. ทำไมต้องรับประทานเบญจออยส์?

         ปัจจุบันมีผู้ป่วยโรคเรื้อรังมากขึ้น ซึ่งโรคเหล่านี้เกิดจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ขาดความสมดุลและโรคเรื้อรังไม่สามารถรักษาได้ด้วยยาเคมี ดังนั้นการปรับพฤติกรรมและการดูแลสมดุลของร่างกายเป็นสิ่งสำคัญมาก ผลัตภัณฑ์เบญจออยล์ เป็นการรำน้ำมันเพื่อสุขภาพประกอบด้วยน้ำมัน 5 ชนิด

คือน้ำมันมะพร้าว น้ำมันรำข้าว น้ำมันกระเทียม น้ำมันงาขี้ม่อนและน้ำมันปลา ในอัตราส่วน

ที่เหมาะสม เพื่อดูแลความสมดุลของไขมันดีและไขมันเลวในร่างกายโดยเฉพาะ หากร่างกายเกิดความสมดุล เราก็จะมีสุขภาพดี

 

4. ถ้าไม่ป่วยสามารถรับประทานเบญจออยล์ได้หรือไม่?

         ควรรับประทานเป็นอย่างยิ่ง การดูแลสมดุลของร่างกายเป็นสิ่งสำคัญมาก อีกทั้งการป้องกันก่อนป่วย ย่อมดีกว่าการรักษาอย่างแน่นอน เพราะใช้งบน้อยกว่า ไม่ต้องทรมานกับโรค สุขภาพแข็งแรงก็สามารถหารายได้ได้มากขึ้น

5. รับประทานเบญจออยล์ตอนไหน?

         เพื่อประสิทธิภาพสูงสุด แนะนำให้รับประทานตอนท้องว่างก่อนอาหาร 30 นาที ช่วงเช้าหรือก่อนนอน

6. ควรรับประทานเบญจออยล์วันละกี่แคปซูล?

         หากต้องการรับประทานเพื่อบำรุงร่างกายแนะนำให้รับประทาน 3-5 เม็ด/วัน แต่ถ้ามีภาวะป่วยแล้ว สามารถรับประทานได้มากขึ้น 2- 3 เท่า เพื่อปรับสมดุลให้กับร่างกายและเมื่อภาวะป่วยเริ่มดีขึ้นจึงค่อยลดปริมาณลงได้

7. ระยะเวลาที่เห็นผล?

         โดยปกติจะรู้สึกดีขึ้นหลังรับประทานได้ 2 สัปดาห์ แต่ก็ขึ้นอยู่กับสภาวะร่างกายของแต่ละคนด้วย

8. มีภาวะป่วยเป็นโรค...สามารถรับประทานเบญจออยได้หรือไม่?

         ควรรับประทานเป็นอย่างยิ่ง เมื่อมีอาการป่วยแสดงว่าร่างกายขาดความสมดุลแล้ว ต้องรีบดูแลสมดุลของร่างกายอย่างเร่งด่วน

 

โรคความดันสูงแสดงว่ามีปัจจัยบางอย่างที่ทำให้หัวใจต้องบีบตัวแรงขึ้นเพื่อที่จะส่งเลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกายได้อย่างทั่วถึง มีความเสี่ยงที่จะเกิดโรคหัวใจโต เส้นเลือดแตกและอื่นๆได้ง่ายซึ่งต้องรีบเพิ่มการไหลเวียนของเลือดเร่งด่วน                                               

• สาร Alicin Ajoene จากน้ำามันกระเทียมมีงานวิจัยว่าสามารถลดความดันโลหิตได้

 • สาร Alpha-linolenic acid (ALA) จากน้ำ มันขี้ม่อนสามารถนําไปเป็นวัตถุดิบเพื่อสังเคราะห์ EPA DHA ได้

• นอกจากนี้ในสูตรยังเพิ่ม EPA DHA จากน้ำมันปลา ซึ่งสาร ALA EPA DHA เป็นสารในกลุ่มโอเมก้า ที่มี ส่วนสําคัญในการสร้างไอโคซานอยด์ (Eicosanoids) ที่ กระตุ้นการไหลของเลือด ทําให้หลอดเลือดมีการขยายตัวและ ช่วยการพัฒนาการทํางานของระบบปราสาท สมองและสายตาอีกด้วย

มะเร็ง เป็นอาการแสดงที่บ่งบอกว่าร่างกายขาดความสมดุลอย่างมาก จนเซลล์ต้องมีการปรับตัวเพื่อความอยู่ รอดจนกลายเป็นเซลล์มะเร็ง ซึ่งเซลล์เหล่านี้จะมีผนังเซลล์ที่ไม่สมบูรณ์ ไม่สามารถทนกับภาวะที่มีออกซิเจนสูงได้ การดูแลก็ไม่ยาก เพียงแค่เพิ่มสารต้านอนุมูลอิสระและลดการอักเสบในร่างกาย จากงานวิจัยพบว่าน้ำมันที่ใช้เป็น ส่วนประกอบมีสารต้านอนุมูลอิสระอยู่หลายชนิดเช่น • Tocotrienol, Tocotrienol ในน้ํามันงวัน ทําให้เกิดโรคเบาหวานขึ้น เรา

เป็นคําอธิบายเพิ่มเติม ใช้ในกรณีที่ลูกค้าต้องการทราบมะพร้าว

Ajoene Germanium (vitamin O) ในกระเทียม ซึ่งสาร Germanium นั้นสารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxident)และมีสรรพคุณในการสร้างสมดุลร่างกายอีกด้วย พบในกระเทียมเป็นอันดับ รองจากเห็ดหลินจือ • EPA จากน้ำมันปลาสามารถลดการอักเสบได้

Gamma Oryzanol จากน้ํามันรําข้าว Rosmarinic acid, Luteolin จากน้ำามันขี้ม่อน

ภูมิแพ้ คือสภาวะที่ร่างกายต้องการกําจัดสิ่งแปลกปลอมออกจากร่างกาย เช่น เชื้อแบคทีเรีย ไวรัส และปรสิต เราสามารถเพิ่มสารต้านเชื้อ กระตุ้นภูมิคุ้มกัน

• ด้วยสาร Lauric acid ในน้ำมันมะพร้าว จะเปลี่ยนเป็น Monolaurin ซึ่งเป็นสารตัวเดียวกับที่อยู่ในน้ำนมมารดา ช่วยสร้างภูมิคุ้มกัน เป็นสารปฏิชีวนะที่ทําลายเชื้อโรคทุกชนิด แต่ไม่เป็นอันตรายต่อแบคทีเรียที่เป็นประโยชน์ในลําไส้

• นอกจากนี้สาร Capric acid ในน้ำมันมะพร้าวจะเปลี่ยนเป็น Monocaprin ไปช่วยเสริมประสิทธิภาพของ Monolaurin ในการสร้างภูมิคุ้มกันและฆ่าเชื้อโรคด้วย

สาร Alicin, Ajoene และ Allitridin ในน้ํามันกระเทียมสามารถต้านเชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา ไวรัส โปรโตซัว และ เซลล์มะเร็งได้

เบาหวาน เป็นกลุ่มโรคเกี่ยวกับการเผาผลาญอาหารซึ่งมีระดับน้ําตาลในเลือดสูงเป็นเวลานาน เราสามารถ หายได้โดยการปรับพฤติกรรมร่วมกับการใช้โภชนบําบัด โดยปกติเราไม่ควรกินน้ำนาลเกิน ช้อนชา/วัน แต่ด้วยวิถี ชีวิตในปัจจุบันทําให้เราบริโภคแป้งและน้ำนาลเกินความต้องการมากถึง 25 ช้อนชา/วัน ทำให้เกิดโรคเบาหวานขึ้น

สามารถแก้ไขได้ง่ายๆคือกินแป้งและน้ำตาลให้น้อยลง หรือเลือกกินอาหารที่มี GI ต่ำแทน เช่น จากปกติกินข้าวขาว เปลี่ยนมากินข้าวกล้อง ปกติใช้น้ำตาลทรายก็เปลี่ยนมาใช้น้ำตาลมะพร้าวแทน เป็นต้น

และจากงานวิจัยพบว่าเมื่อกรดคาปริลิต (C8) ในน้ำมันมะพร้าว กํามะถันในกระเทียม จะได้สาร Alphalipoic acid ซึ่งช่วยนําน้ำตาลเข้าสู่เซลล์ผ่าน Receptor และกระตุ้นการหลั่งอินซูลินได้

• Ajoene จากน้ำมันกระเทียม สามารถลดระดับน้ำตาลและลดไตรกลีเซอไรด์ได้อย่างมีนัยสําคัญ

• Corosolic acid จากน้ำมันงาขี้ม่อนออกฤทธิ์เหมือนอินซูลิน และช่วยชะลอการย่อยแป้งในระบบทางเดิน อาหาร ทําให้การลําเลียงน้ำตาลเข้าสู่เซลล์ดีขึ้น

ไขมันในเลือดสูง เป็นโรคที่ไม่มีอาการแสดงของโรคให้เห็น คนทั่วไปจึงไม่รู้ตัวกว่าจะพบก็ต่อเมื่อไป ตรวจร่างกายและมีการเจาะเลือดตรวจเท่านั้น โดยทั่วไปมักเรียกภาวะที่ร่างกายมีโคเลสเตอรอลในเลือดสูง แต่จาก การศึกษาใหม่ๆพบว่าแท้จริงแล้วโคเลสเตอรอลเป็นไขมันที่มีความสําคัญต่อร่างกายมาก คือ เป็นสารตั้งต้นในการ สังเคราะห์น้ำดี ฮอร์โมนเพศ ฮอร์โมนจากต่อมหมวกไต และยังเป็นองค์ประกอบของเยื่อหุ้มเซลล์และปลอกประสาท โดยปกติระดับโคเลสเตอรอลที่เหมาะสมคือน้อยกว่า ๒๐๐ มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร

โคเลสเตอรอลจะก่อโรคในร่างกายก็ต้องเมื่อ 1.ร่างกายมีสารต้านอนุมูลอิสระต่ำ  2. มี HDL ต่ำ(ไขมันดีใน ร่างกายน้อย) 3.มีสภาวะไตรกลีเซอไรด์สูงจากการมีน้ําตาลน้ำตาลในกระแสเลือดเกินความจําเป็นและจากการกินกรดไขมัน ชนิดทรานส์ (trans fatty acid)ในเบเกอรี่ เนยขาว เนยเทียม อาหารจากน้ำมันทอดซ้ำ เป็นต้น ซึ่งจากงานวิจัย

• น้ำมันมะพร้าวสามารถเพิ่ม HDL ได้ 40% และหากใช้ร่วมกับน้ำมันงาขี้ม่อน สามารถเพิ่ม HDL ได้ถึง 150% เมื่อร่างกายมี HDL เพิ่มขึ้น การนําโคเลสเตอรอลและ LDL กลับเข้าตับก็ดีขึ้น ไขมันในเลือดก็จะลดลง ซึ่งถ้า HDL เพิ่ม 11.6% สามารถลดการเป็นโรคมะเร็งได้ 41% และโรคหัวใจได้ 64% • น้ํามันที่ใช้เป็นส่วนประกอบมีสารต้านอนุมูลอิสระอยู่หลายชนิดเช่น

Tocotrienol, Tocotrienol ในน้ำมันมะพร้าว Ajoene Germanium (vitamin O) ในกระเทียม ซึ่งสาร Germanium นั้นสารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxident)และมีสรรพคุณในการสร้างสมดุลร่างกายอีกด้วย พบในกระเทียมเป็นอันดับ รองจากเห็ด

หลินจือ / EPA จากน้ำมันปลาสามารถลดการอักเสบได้ + Gamma Oryzanol จากนนรําข้าว + Rosmarinic acid, Luteolin จากน้ำมันงาขี้ม่อน

• ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันทรานส์ เช่น เนยเทียม Margarine เนยขาว เนยถั่ว ครีมเทียม เป็นต้น

• เลือกใช้น้ำมันให้ถูกวัตถุประสงค์ในการใช้ เช่น หากต้องการใช้ในการทอดหรือผัดควรเลือกใช้น้ำมัน มะพร้าว ที่มีกรดไขมันอิ่มตัวสูงถึง 92% จึงไม่ก่อให้เกิดไขมันทรานส์เวลาโดนความร้อน

ธาลัสซีเมีย โรคโลหิตจางธาลัสซีเมียเป็นโรคทางพันธุกรรม เกิดจากการสร้างฮีโมโกลบินผิดปกติหรือ น้อยลง จนส่งผลให้เม็ดเลือดแดงผิดปกติและมีอายุสั้น ความสามารถในการนําออกซิเจนไปเลี้ยงร่างกายได้น้อยลง จึง

เกิดอาการเหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย ซีดเหลืองเรื้อรังและมีภาวะแทรกซ้อนต่างๆ ตามมา ซึ่งสารเคอร์คูมินอยด์จากสารสกัดขมิ้นชันมีรายงานการทดลองทางคลินิกในผู้ป่วยธาลัสซีเมีย เริ่มจาก

 

1. ดร.รัชนีกร กัลล์ประวิทธ์ และคณะ จากคณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล พบว่ารับประทานสารสกัดขมิ้นชัน วันละ แคปซูล ติดต่อกัน เดือน ช่วยลดภาวะที่มีอนุมูลอิสระสูง(oxidative stress) ลงได้

2. นพ.อิศรางค์ นุชประยูร และคณะ จากคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พบว่ารับประทานสารสกัด ขมิ้นชันวันละ แคปซูล ช่วยยืดเม็ดเลือดแดงได้

3. ดร.สมเดช ศรีชัยรัตนกุล และคณะ จากคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ศึกษาในหลอดทดลองพบว่า เคอร์คูมินอยด์สามารถลดระดับของเหล็กรูปที่ไม่ได้จับกับทรานสเฟอร์ริน(non-transferrin bound iron, NTBI) ได้ และ ยังเสริมฤทธิ์ของยาขับเหล็กในการลดเหล็กรูป NTBI ได้อีกด้วย

อัมพฤกษ์ อัมพาตคืออาการที่อวัยวะบางส่วนเสียสภาพการทํางานเช่น กระดิกแขนขาไม่ได้ ส่วนอัม พฤกษ์ที่อวัยวะร่างกายเพียงอ่อนแรง สาเหตุจากความผิดปกติของหลอดเลือดแดงที่ไปเลี้ยงสมองเกิดการตีบ อุดตัน หรือแตกขึ้น การดูแลผู้ป่วยกลุ่มนี้ต้องควบคุมปัจจัยเสี่ยง ได้แก่ การรักษาเบาหวาน ความดันโลหิตสูง เป็นต้น ออก กําลังกายหรือทํากายภาพอย่างสม่ำาเสมอ และใช้สารอาหารช่วยในการฟื้นฟูร่างกาย ดังนี้

• DHA ในน้ำมันปลา เป็นสารอาหารจําเป็นต่อการพัฒนาการทํางานของสมอง ระบบปราสาทส่วนกลางและ สายตา ช่วยเสริมสร้างพัฒนาการในการเรียนรู้ เสริมสร้างความจํา รวมถึงระบบสายตาให้ทํางานอย่างมีประสิทธิภาพ

สาร Alpha-linolenic acid (ALA) จาก  น้ำมันงาขี้ม่อนสามารถนําไปเป็นวัตถุดิบเพื่อสังเคราะห์ EPA DHA ได้ เซซามิน ในงาดํา สามารถลดความดันโลหิตได้หลังรับประทานวันละ 60mg มากกว่า สัปดาห์

สาร Alicin Ajoene จากน้ำมันกระเทียมมีงานวิจัยว่าสามารถลดความดันโลหิตได้ • เคอร์คูมินอยด์ในขมิ้นชัน สามารถต้านการตกตะกอนของพลัดโปรตีนตามอวัยวะต่างๆ เช่น ข้อต่อ สมองได้ • น้ำมันที่ใช้เป็นส่วนประกอบมีสารต้านอนุมูลอิสระอยู่หลายชนิด

โรคไตเรื้อรังคือ สภาวะที่ไตถูกทําลาย มีผลทําให้ความสามารถของไตในการทํางานลดลง เช่น การรักษา สมดุลของเหลวในร่างกาย การกําจัดยาและพิษออกจากร่างกาย เป็นต้น โดยสาเหตุที่ก่อให้เกิดโรคไตเรื้อรังคือ เบาหวาน ความดันโลหิตสูง และโรคอ้วน รวมถึงสภาวะอื่นๆ เช่น ไตอักเสบ โรคถุงน้ำ ในไต เป็นต้น

• Germanium and Selenium ในกระเทียม ช่วยลดความดันโลหิต โดยออกฤทธิ์คล้ายยา Alprostadil คือมีฤทธิ์ ขยายหลอดเลือดและยับยั้งการเกาะกลุ่มกันของเกร็ดเลือด และช่วยขับสารพิษในเลือด เช่น ตะกั่ว ปรอท แคดเมียม สารหนู สารประกอบกํามะถัน และสารพิษจากวัตถุเจือปนอาหารได้

ไขมันพอกตับ เป็นภาวะที่ไขมันโดยเฉพาะ Triglyceride ไปอยู่ในเซลล์ตับมากกว่า 10% หากเป็นเรื้อรัง จะกลายเป็นตับแข็งในที่สุด สาเหตุที่พบได้บ่อยคือ การดื่มสุรา ไวรัสตับอักเสบ บี ไวรัสตับอักเสบซี โรคแพ้ภูมิ โรคเบาหวาน ผลจากยาเช่น prednisolone การบริโภคน้ำตาลเกินความต้องการ หรือเกิดโดยไม่ทราบสาเหตุ

การป้องกันโดยการหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยง รับประทานอาหารต้านอนุมูลอิสระ ลดการอักเสบในร่างกาย จากงานวิจัยพบว่า น้ำมันที่ใช้เป็นส่วนประกอบมีสารต้านอนุมูลอิสระอยู่หลายชนิดเช่น

• Tocotrienol.Tocotrienol ในน้ำมันมะพร้าว

• Ajoene Germanium(vitamin O) ในกระเทียม ซึ่งสาร Germanium นั้นสารต้านอนุมูลอิสระและมีสรรพคุณในการสร้างสมดุลร่างกายอีกด้วย พบในกระเทียมเป็นอันดับ 2 รองจากเห็ดหลินจือ

• Germanium Oryzanol จากน้ำมันรำข้าว

• Rosmarinic , Luteolin จากน้ำมันงานขี้ม่อน

 

โรคหัวใจ เกิดจากโรคของหลอดเลือดหัวใจตีบแคบ ตีบตัน ส่งผลให้กล้ามเนื้อกัวใจขาดเลือด กล้ามเนื้อหัวใจตาย หัวใจจึงทำงานผิดปกติส่งผลถึงอวัยวะต่างๆขาดเลือดไปด้วย ซึ่งอาจเกิดด้วยอย่างเฉียบพลัน ทำให้หัวใจหยุดทำงานทันที สามารถป้องกันได้โดยการควบคุมปัจจัยเสี่ยง ได้แก่ การรักษาเบาหวาน ความดันโลหิตสูง เป็นต้น ออกกำลังกายหรือทำกายภาพอย่างสม่ำเสมอ และใช้สารอาหารช่วยในการดูแลสมดุลร่างกายดังนี้

• น้ำมันมะพร้าวสามารถเพิ่ม HDL ได้ 40 % และหากใช้ร่วมกับน้ำมันงาขี้ม่อนสามารถเพิ่ม DHL ได้ถึง 150 % เมื่อร่างกายมี HDL เพิ่มขึ้น การนำโดเรสเตอรอลและ LDL กลับเข้าตับดีขึ้น ไขมันในเลือดก็จะลดลง ซึ่งถ้า HDL เพิ่ม 11.640 40 % สามารถลดการเป็นมะเร็งได้ 41 % และโรคหัวใจได้ 64  %

• น้ำมันที่ใช้เป็นส่วนประกอบมีสารต้านอนุมูลอิสระอยู่หลายชนิดเช่น

-                   Tocotrienol,Tocotrienol ในน้ำมันมะพร้าว

-                   Ajoene Germanium (Vitamin O) ในกระเทียม ซึ่งสาร Germanium นั้นต้านอนุมูลอิสระ (Antioxident)และมีสรรพคุณในการสร้างสมดุลร่างกายอีกด้วย พบในกระเทียมเป็นอันดับ 2 รองจากเห็ดหลินจือ

-                   EPA จากน้ำมันปลา สามารถลดการอักเสบได้

-                   Gamma Oryzanol จากน้ำมันรำข้าว

-                   Rosmarinic Acid,Luteolin จากน้ำมันงาขี้ม่อน

-                   ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันทรานส์ เช่น เนยเทียม Margarine เนยขาว เนยถั่ว ครีมเทียม เป็นต้น

-                   เลือกใช้น้ำมันให้ถูกวัตถุประสงค์ในการใช้ เช่น หากต้องการใช้ในการทอดหรือผัดควรเลือกใช้น้ำมันมะพร้าว ที่มีกรดไขมันอิ่มตัวสูงถึง 92 % จึงไม่ก่อให้เกิดไขมันทรานส์เวลาโดนความร้อน

                                                                                        

9.น้ำมันปลาที่ใช้คือปลาอะไร และช่วยเรื่องอะไรบ้าง?

         น้ำมันปลาที่ใช้สกัดได้จากกลุ่มปลาซาร์ดีนและปลาแอนโชวี่จากชิลี เนื่องจากปลาเหล่านี้กินแพลนตอนเป็นอาหารโอกาสที่จะมสารปรอทหรือสารพิษอื่นๆสะสมจึงน้อยกว่า เราจึงมั่นใจในคุณภาพและความปลอดภัยได้ น้ำมันที่สกัดได้

 

10. ควรหยุดรับประทานเบญจออยล์กี่วันก่อนบริจาคโลหิต?

         แนะนําให้หยุดรับประทานเบญจออยล์ก่อนถึงวันบริจาค วัน และควรเตรียมตัวก่อนบริจาคโลหิต ดังนี้ / นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพออย่างน้อย ชั่วโมง / ห้ามรับประทานยาแก้อักเสบใดๆ / งดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ก่อนมาบริจาคโลหิตอย่างน้อย 24 ชั่วโมง - งดสูบบุหรี่ก่อนและหลังบริจาคโลหิต ชั่วโมง เพื่อให้ปอดฟอกโลหิตได้ดี

ดื่มน้ำ 3-4 แก้ว เพื่อเพิ่มปริมาณ โลหิตในร่างกาย จะช่วยป้องกันอาการแทรกซ้อน เช่น มีนงง อ่อนเพลีย หรือ วิงเวียนศีรษะภายหลังบริจาคโลหิต

หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูง เช่น ข้าวขาหมู ข้าวมันไก่ และอาหารที่ประกอบด้วยกะทิ แกงต่างๆ ของทอด ของหวาน ฯลฯ ก่อนมาบริจาคโลหิต เนื่องจากจะทําให้สีของพลาสมาผิดปกติเป็นสีขาวขุ่น ไม่สามารถนําไปใช้ได้

 

11. รับประทานน้ำมันอื่นๆอยู่ (รําข้าว ปลา ฯลฯ) วิตามินหรือยาลดน้ำหนัก สามารถ รับประทานคู่กับเบญจออยล์ได้หรือไม่?

เบญจออยล์ เป็นการรวมน้ำมันเพื่อสุขภาพประกอบด้วยน้ำมัน ชนิดคือน้ำมัน

มะพร้าว น้ำมันรําข้าว น้ำมัน กระเทียม น้ำามันงาขี้ม่อนและ น้ำมันปลา

 ถ้ารับประทานอาหารเสริมอื่นๆ สามารถใช้คู่กันได้เพราะเบญจออยล์เป็น ส่วนผสมจากน้ำมันธรรมชาติ 100% สามารถใช้คู่กันได้อย่างปลอดภัย

หากรับประทานน้ำมันอ......ยู่แล้วแนะนําให้รับประทานเบญจออยล์

แนะนําให้รับประทานเบญจออยล์เพิ่ม แต่ถ้าท่านไม่สะดวกที่จะ รับประทานหลายตัว ต้องการประหยัดต้นทุน หรือต้องการความคุ้มค่าในการรับประทานแนะนําให้รับประทานเบญจ ออยล์ เพราะเราได้รวมน้ํามันเพื่อสุขภาพ ชนิด ในอัตราส่วนที่เหมาะสมไว้ให้คุณแล้ว

 

12.ราคาแพง ?

         เมื่อคํานวณเป็นรายวันแล้ว ต้นทุนในการดูแลสุขภาพด้วยเบญจออยล์เท่ากับ 30 บาทต่อวัน ซึ่งถือเป็นการ ลงทุนกับสุขภาพที่ถูกและคุ้มค่ามาก เมื่อเทียบการใช้จ่ายในชีวิตประจําวันก็เท่ากับซื้อเครื่องดื่มเพียง แก้วเดียวเอง

 

13. ความปลอดภัยมั๊ย?         

         ค่าตับสูงขึ้นจากการศึกษาน้ำมันแต่ละชนิดที่เป็นส่วนผสมยังไม่พบรายงานความมเป็นพิษต่อตับ ส่วนค่า ดับสูงขึ้นอาจเกิดได้หลายสาเหตุ ดังนี้

ค่าเอนไซม์ตับ ALT สูงผิดปกติมาก (Very high) อาจเกิดจากสาเหตุดังนี้

1. เซลล์ตับถูกทําลายอย่างเฉียบพลันหรือเรื่อง เช่น ไวรัสตับอักเสบชนิด เอบี หรือซี 2. ได้รับพิษจากตะกั่ว (Lead poisoning) 3. ตับอักเสบจากการได้รับยา หรือสมุนไพร หรือวิตามินบางชนิด ในขนาดและปริมาณที่ส่งผลพิษต่อตับ 4. สัมผัสสารคาร์บอนเตตระคลอไรด์ (carbon tetrachloride) พบในน้ํายาซักแห้ง น้ํายาทําความสะอาด สารกําจัด ศัตรูพืช (Pesticide) สารรมควัน (Funnigant) สารดับเพลิง (Fire extinguisher) และยาฆ่าพยาธิ (Anti-helmintic) 5. อาการช็อค ค่าเอนไซม์ตับ ALT สูงผิดปกติปานกลาง (Mildly or moderately high) อาจเกิดจากสาเหตุ ดังนี้

1. เกิดภาวะตับอักเสบ เช่น ภาวะตับแข็ง (cirrhosis) 2. ได้รับแอลกอฮอล์ สุราอย่างหนัก (Alcohol abuse) 3. ได้รับพาราเซตตามอล (paracetamol; acetaminophen overdose) เกินขนาด หรือได้รับยา (hepatotoxic drugs)

สมุนไพร บางชนิดที่ส่งผลต่อตับไม่รุนแรงนัก 4. ภาวะท่อน้ำดีอุดตัน (obstruction of bile ducts) หรือ มะเร็งตับ (tumors in the liver) 5. อาจติดเชื้อไวรัสจากโรค “โมโนคลีโอซิส” (mononucleosis) หรือโรคจูบปาก (the kiss disease) ค่าเอนไซม์ตับ ALT สูงขึ้นเล็กน้อย (Slightly high) อาจเกิดจากสาเหตุ ดังนี้

            1. เริ่มเกิดสภาวะตับอักเสบจากเหตุใดก็ตาม เช่น การได้รับยา แอลกอฮอล์ หรืออาหารที่เป็นพิษ 2. อาจจะเกิดจากได้รับยาหลายชนิดที่ส่งผลต่อตับร่วมกัน เช่น ยาลดไขมันกลุ่มสแตติน (statins), ยาปฏิชีวนะยา

เคมีบําบัดแอสไพริน (aspirin) และอื่นๆ ค่าเอนไซม์ตับ ALT สูงขึ้นเล็กน้อยเป็นครั้งคราว อาจเกิดจากสาเหตุ ดังนี้

1. กล้ามเนื้ออักเสบ myositis 2. ตับอ่อนอักเสบ pancreatitis 3. กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด myocardial infraction 4. หากมีโรคใดหรือสภาวะใดที่กระทบต่อตับ หัวใจ หรือกล้ามเนื้อโครงสร้าง อาจเป็นเหตุให้ค่า ALT สูงขึ้นได้

ใช้ปริมาณมากจากการศึกษาน้ํามันแต่ละชนิดที่เป็นส่วนผสมยังไม่พบรายงานความเป็นพิษที่รุนแรง มี เพียงรายงานเรื่องการระบายในช่วงแรกของการใช้เท่านั้น

กินไขมันแล้วไขมันในเลือดจะเพิ่มขึ้นไหมไม่มีผลอย่างแน่นอน โดยปกติไขมันในเลือด (คอเลสเตอรอล)นั้น 80% สร้างจากตับ รับจากอาหารเพียง 20% เท่านั้น และจากการศึกษาในปัจจุบันพบว่าไขมันที่เป็น การก่อโรคจริงๆนั้นคือ ไขมันทรานส์ ซึ่งเกิดจากไขมันไม่อิ่มตัวถูกเติมไฮโดรเจนให้กลายเป็นไขมันอิ่มตัว เช่น เนย เทียม เนยขาวเนยถั่ว ครีมเทียม หรืออาหารที่ผ่านการทอดจากน้ํามันที่ทอดซ้ําๆ เป็นต้น แต่ผลิตภัณฑ์เบญจออยล์ ประกอบด้วยน้ํามันเพื่อสุขภาพ ชนิด ผ่านกรรมวิธีการสกัดเย็นจึงมั่นใจในคุณภาพและประสิทธิภาพได้

 

14. เบญจออยล์กับการผายลมและระบบการขับถ่าย

หากรับประทานเบญจออยล์แล้วเกิดการผายลมหรือการระบายนั้นเป็นเรื่องที่สามารถพบได้ เนื่องจากมีน้ำมัน มะพร้าวและน้ำมัน กะเทียม แต่อาการเหล่านี้จะหา

ยได้เองภายใน1-2 สัปดาห์หรือจนกว่าระบบทางเดินอาหารจะเข้าสู่ ภาวะปกติ น้ํามันมะพร้าว มีกรดไขมันสายปานกลาง ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทํางานของลําไส้ใหญ่ เพิ่มปริมาณ ของแบคทีเรียดีในลําไส้ จึงมีผลช่วยเรื่องการขับถ่ายให้ดีขึ้น - น้ำมัน ระเทียม มีสารอัลลิซัลไฟด์จะช่วยกระตุ้นการบีบตัวของผนังกระเพาะลําไส้ ป้องกันโรคท้องผูกและขับลมใน กระเพาะลําไส้

หากแต่การผายลมและการขับถ่ายนั้นเป็นการระบายสิ่งที่ไม่ดีออกมาจากร่างกาย โดยการบีบตัวของลําไส้ใหญ่ ภาวะสุขภาพ และพฤติกรรมบางอย่างก็ส่งผลต่อเช่นกัน การผายลมกับภาวะสุขภาพ

ผู้ป่วยโรคลําไส้ใหญ่อุดตันหรือมะเร็ง ไม่ผายลมเลยทั้งวัน ท้องผูกต่อเนื่อง

ลําไส้มีแบคทีเรียที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ มีกลิ่นเหม็นอย่างรุนแรง เกิดการถ่ายท้อง

ผู้ป่วยโรคกระเพาะอาหารอักเสบ เมื่อกินอาหารเข้าไปแล้วกระเพาะอาหารไม่ทํางาน อาหารก็ไม่ถูกย่อย เมื่อ ไปถึงลําไส้ใหญ่แบคทีเรียจะมาทําหน้าที่ช่วยย่อยเมื่อย่อยมากก็เกิดแก๊สมากขึ้นตามมา

ผู้ป่วยโรคนิ่วในถุงน้ำดี  เมื่อถุงน้ำดีทํไม่ทำงานทำให้    ย่อยสลายไขมันได้ไม่ดี จึงทําให้ผู้ป่วยมีอาการท้องอืดและ ผายลมหลังอาหารอยู่บ่อยๆ

ผู้ที่เป็นโรคมะเร็งลําไส้ใหญ่ โรคตับอ่อนอักเสบ และผู้ที่มีอาการท้องผูกล้วนเป็นสาเหตุของผายลมได้ ผายลมกับพฤติกรรม

การทานอาหารประเภทเนื้อสัตว์ในปริมาณที่มากกว่าผัก ถั่วแห้งต่างๆ กะหล่ําปลี ดอกกะหล่ําขนมปังสด ช็อกโกแลต กาแฟ แตงกวา อาหารทอด ผัดกาดแก้ว ขนมหวานเมอแรง ถั่วลิสง ใช้เท้า ครีม (นม) ปั่น เป็นต้นทําให้ แบคทีเรียที่สร้างแก๊สเติบโตได้ดีในลําไส้ใหญ่ นอกจากนี้ยังก่อให้เกิดตะกรันของอุจจาระค้างปีที่หลงเหลืออยู่ในลําไส้ ใหญ่มาก เพราะอาหารประเภทนี้จะใช้เวลาย่อยประมาณ 72 ชั่วโมงหรือมากกว่านั้น ทําให้เกิดการหมักหมมทําให้เกิด เสียงและกลิ่นเหม็น

การเคี้ยวอาหารไม่ละเอียด ทําให้อาหารย่อยไม่หมดและทําให้ท้องอืด หรือการเรอ + สุขภาพของฟัน เช่น ผู้สูงอายุที่ฟันไม่ดีทําให้เคี้ยวอาหารไม่ละเอียด - การพูดมากหรือเคี้ยวหมากฝรั่ง ทําให้ต้องกลืนลมเข้าท้องในปริมาณมาก

ขาดการออกกําลังกาย เพราะการผายลมเกิดจากการบิดตัวของลําไส้ใหญ่ ซึ่งการทํางานของลําไส้ใหญ่มัก เป็นไปตามการเคลื่อนไหวของร่างกาย

 

15. เบญจออยล์กับการควบคุมน้ำหนัก?

เบญจออยล์มีน้ำมันมะพร้าวเป็นส่วนประกอบหลัก ซึ่งน้ำมันมะพร้าว

มีกรดไขมันขนาดกลาง MCFA5 ถึง 62% จึงย่อยได้ง่าย เผาผลาญเป็นพลังงานได้เร็ว เกิดการสะสมของกรดไขมันได้น้อย นอกจากนี้ยังทําให้ร่างกายเกิด ความร้อนสูงด้วยขบวนการ thermogenesis ทําให้ร่างกายมีอัตราการเผาผลาญอาหาร (metabolism) สูงช่วยเปลี่ยน ไขมันที่ร่างกายสะสมอยู่ ไปใช้เป็นพลังงานได้ คุณสมบัติในข้อนี้ทําให้น้ำมันมะพร้าวถูกใช้ในสูตร คีโตเจนิคไดเอต (Ketogenic Diet) เพื่อให้ร่างกายจะดึงเอาไขมันส่วนเกิน ที่สะสมไว้ไปเผาผลาญเป็นพลังงานแทนการเผาผลาญแป้ง และน้ําตาล ตับก็จะไม่หลั่งอินซูลินออกมาควบคุมระดับน้ําตาล ทําให้ร่างกายอยู่ในสภาพคีโตน (Ketone) หรือสภาวะ เผาผลาญไขมันแทนน้ําตาล ผลคือ เราจะไม่รู้สึกเหนื่อยล้า อ่อนเพลีย และปวดศีรษะ อีกทั้งยังช่วยให้น้ําหนักตัวและ ไขมันส่วนเกินในร่างกายก็จะลดลงด้วย เราจึงรู้สึกว่าผอมลง ช่วงแรกของการรับประทานบางคนอาจรู้สึกหิว อยาก อาหารมากขึ้น เพราะร่างกายมีเผาผลาญสูงขึ้น ช่วงนี้เป็นช่วงสําคัญไม่ควรรับประทานอาหารเพิ่ม แนะนําให้ดื่มน้ำ บ่อยๆแทน หรือรับประทานน้ำมันมะพร้าวแทน หากมีน้ำ หนักเพิ่มขึ้นให้ดูสัดส่วนเปรียบเทียบด้วย หากสัดส่วนลดลง แสดงว่าน้ำ หนักเพิ่มเพราะมีกล้ามเนื้อมากขึ้น ปริมาณที่ใช้ 3-4 ช้อนโต๊ะ หรือ 45-60 ml ต่อวัน

 

นอกจากนี้ในน้ำมันกระเทียมพบสารเยอรมาเนียม (Germanium) มากเป็นอันดับสองรองจากเห็ดหลินจือแดง ซึ่งสารนี้มีคุณสมบัติเป็น Adaptogen หมายถึง ผู้ปรับสมดุลหรือผู้ทําให้ระบบคืนสู่สภาวะปกติให้กับสิ่งมีชีวิตได้ คุณสมบัติข้อนี้อาจทําให้มีความอยากอาหารเพิ่มขึ้น กินข้าวได้มากขึ้น แต่อาการเหล่านี้จะหายได้เองภายใน1-2 สัปดาห์ - หรือจนกว่าร่างกายจะเข้าสู่ภาวะสมดุล แนะนําให้มีการออกกําลังเบาๆ ควบคู่และไม่ควรรับประทานอาหารจุกจิก น้ำหนักที่เหมาะสมสามารถดู

ได้จากค่า BMI เป็นหลัก

 

16. เบญจออยล์เก็บได้กี่ปี?

สามารถเก็บได้นาน ปี สังเกตวันหมดอายุได้บนฉลากข้างขวด

 

17.ตั้งครรภ์หรือให้นมบุตรสามารถรับประทานได้หรือไม่?

โดยปกติจะแนะนําให้รับประทานได้หากตั้งครรภ์เกิน เดือน ในกรณีให้นมบุตรแนะนําให้รับประทานได้ หลังทารกอายุเกิน เดือน

 

18. เด็กสามารถรับประทานได้หรือไม่?

เด็กสามารถรับประทานได้ตั้งแต่ เดือน รับประทาน ช้อนชาหรือ แคปซูลต่อวัน ควรจะแบ่งทานเป็น เวลา โดยกินก่อนรับประทานอาหารประมาณ 30 นาที

 

19. กินไขมันแล้วจะอ้วน? ไม่มีผลอย่างแน่นอน การสะสมไขมันในร่างกาย ส่วนใหญ่เกิดจากภาวะที่ร่างกาย มี    น้ำ ตาลในกระเลือดเกินความต้องการ ร่างกายจึงเปลี่ยนน้ำตาลเป็นกลัยโคเจนแล้วเอามาเก็บไว้ในเซลล์ไขมัน สําหรับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนักต้องให้ความใส่ใจในการบริโภคแป้งและน้ำตาลเป็นพิเศษ

สําหรับเบญจออยล์นั้น ประกอบด้วยน้ำมันเพื่อสุขภาพ ชนิดเพื่อดูแลภาวะสมดุลของร่างกาย ผู้ที่รับประทานบางท่านอาจจะรู้สึกอยาก รับประทานอาหารเพิ่มขึ้น หรือบางท่านอาจไม่อยากอาหารเลยก็อยู่ที่สภาวะของร่างกายในขณะนั้น

 

20. กลิ่นในน้ำมันมะพร้าว?

โดยปกติน้ำมันแต่ละชนิดจะมีกลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว น้ำมันมะพร้าวก็เช่น

กันการเปลี่ยนมาใช้น้ำมัน มะพร้าวในช่วงแรกอาจจะยังได้กลิ่นอยู่บ้าง แต่หากมีการใช้เป็นประจําอย่างต่อเนื่องก็จะเกิดความคุ้นเคยชิน เช่นเดียวกับน้ํามันชนิดอื่นๆ และหากต้องการกําจัดกลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวออกก็ต้องผ่านกรรมวิธีทางเคมีซึ่ง เสี่ยงที่จะเกิดการปนเปื้อนสารเคมีที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ